OPEL in : The Happiest Opel Family in Thailand
Opel in Talks => General Discussion => Topic started by: playtg on 09 Mar 2010, 18:06
-
เช้าวันหนึ่ง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง ผมขับถอยรถเยอรมันคันที่ใช้อยู่ประจำมาหน้าบ้าน แล้วเห็นรอยน้ำมันเกียร์ออโต้รั่ว หลังจากยืนชั่งใจอยู่สักพักหนึ่งว่า คงจะต้องเอารถเก็บไว้ในโรงรถที่บ้านแล้วเรียกแท็กซี่มารับ ตอนที่จะเอารถเก็บพี่ข้างบ้านเขามาเห็นแล้วถามว่ารถผมเป็นอะไร ผมก็ตอบไปตามที่เป็นจริง พอผมจะเอารถเก็บ พี่เขาก็บอกว่า "เอารถพี่ไปใช้..กุญแจเสียบอยู่ในรถแล้ว" ผมหันไปดูรถที่พี่เขาให้ยืมไปใช้ ด้วยอาการไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะเป็น Cossa B เครื่อง 1.4 เกียร์ออโต้ 5 ประตูสีเขียว (พิมพ์นิยม) ซึ่งส่วนใหญ่จอดมากกว่าขับ (มาเห็นตัวเลขบนมาตรวัดทีหลังว่าเพิ่งจะวิ่งไปแค่ 3 หมื่นกว่ากิโลเมตร) แกเห็นผมชักช้าอยู่ เลยเรียกผมอีกที "เอาไปใช้เลย" ผมก็ก้าวขึ้นรถ พอขยับเบาะให้เข้าที่เข้าทางแล้วผมก็เริ่มรู้สึกว่า Corsa นี่ไม่ใช่รถเล็กเหมือนรถญี่ปุ่น เพราะนั่งสบาย ยืดแขนขาได้ ไม่อึดอัด (ผมสูง 175 Cm.) หันไปดู Leg room ของที่นั่งด้านหลังคนขับก็ยังมีที่พอสบาย เอาล่ะผมสตาร์ทรถแล้ว
สตาร์ทง่ายครับ ไม่ต้องลุ้น ไดสตาร์ทหมุนดี เข้าใจว่าน่าจะได้ของดีมาจากเยอรมัน เครื่องนิ่งดี ไม่สั่น ผมเลื่อนเกียร์จากตัว P มาที่ R เพื่อถอยรถออกมา จากนั้นก็เลื่อนมาที่ N และ D เพื่อเคลื่อนรถออกสู่ถนน พี่เขายังยิ้มให้ด้วย ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตครับที่ได้ขับรถยี่ห้อ Opel ขับไปได้สักพักหนึ่งก็นึกขึ้นมาได้ว่า อยากรู้ความสูงของ Head room เลยลองใช้มือวางบนหัวแล้วขยับขึ้นลงระหว่างหัวกับเพดานห้องโดยสาร ก็เลยทำให้รู้ว่ารถคันนี้มี Head room ไม่แพ้รถเยอรมันคันใหญ่ๆ ที่ใช้อยู่เลย
ขับมาสักพักหนึ่งจากถ.นิมิตใหม่ เข้า ถ.ร่มเกล้า ก็วิ่งคล่องดีครับ การตัดต่อจังหวะเกียร์กระชับแต่ไม่กระชาก ตีนต้นค่อยๆไต่ขึ้นตามนิสัยรถยุโรปที่ต้นช้าปลายไหล อาจไม่ถูกใจวัยรุ่นแต่ผมว่าจังหวะส่งกำลังแบบนี้เหมาะกับการขับขี่แบบปกติมากกว่าการที่ต้นจัด จี๊ดจ๊าด แต่ปลายไม่มีแรง ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับพอขึ้นมอเตอร์เวย์มุ่งหน้าพระราม 9 ก็เห็นได้ชัดว่าทั้งรอบปานกลางและรอบสูงสั่งได้ตามประสาเยอรมันเลย สรุปว่าขับมันดี วิ่งลื่นปลายไหลวันนั้นซ้อมๆดู ประมาณ 150 กม./ชม. รถนิ่งดี ซึ่งเทียบกับรถญี่ปุ่นที่มีตัวถังพอๆกันแล้ว ความเร็วระดับนี้ก็ร่อนจนไม่รู้จะร่อนไงแล้ว
จากมอเตอร์เวย์ผมเลี้ยวซ้ายเข้าศรีนครินทร์มุถ่งหน้าแยกพัฒนาการรถเริ่มติด ผมเริ่มดูเกจ์วัดความร้อน ความร้อนค่อยๆขยับสูงขึ้น ประมาณ 96-98 องศาเซลเซียส แอร์เริ่มไม่เย็น ผมเข้าใจว่าแอร์ตัดไปแล้วแต่ไม่กลับมาทำงาน เพราะคงเป็นน้ำแข็งเกาะอยู่ เลยปิดแอร์สักพักหนึ่งแล้วเปิดใหม่ โอเค แอร์กลับมาเย็น และอุณหภูมิเริ่มลดลง พอรถเคลื่อนตัวได้ประมาณ 500 เมตร อุณหภูมิก็เริ่มลดตามลำดับจนถึงประมาณ 92 องศาเซลเซียส ผมคิดอยู่ 2-3 เรื่องว่า รถคันนี้น่าจะเช็คพัดลมไฟฟ้า (ทั้งของเครื่องและของแอร์) สวิทช์ความร้อน
จบตอนนี้ก่อนครับ เดี๋ยวคืนนี้ประมาณ 3-4 ทุ่ม จะมาเขียนต่อ
-
ิยินดีต้อนรับนักเขียน อีกหนึ่งท่าน :) :)
-
อ่านแล้วเพลิน นึกภาพตามได้เลยครับ :D
-
รออ่านภาคต่อนะคะ
:) :)
-
อ่านสนุกจัง..
แต่วิ่งเล่นแถวนี้ เหนรถนู๋มั่งมั๊ยหว่า...
Astra 5Drs. สีฟ้า ขับช้าๆๆๆๆ อ่ะคะ...
อิอิ
-
ยินดีต้อนรับครับ จะรออ่านต่อนะ
ป.ล. แล้วปกติคุณใช้รถเยอรมันยี่ห้ออะไรอ่ะ
-
อ่ะ กรุณาติดตามตอนต่อไป.... ;)
-
ยินดีต้อนรับครับ มารออ่านต่อต่อไปครับ :D
-
ปูเสื่อ ..... :) :) :)
-
มาต่อแล้วครับ....
ในระหว่างที่ผมสาละวนกับเรื่องความร้อนที่ขึ้นๆลงๆพอให้เลือดได้สูบฉีด กับสมองที่ต้องคอยสั่งให้สายตาจดจ้องเกจ์วัดความร้อน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นึกว่าใครโทรมา ที่แท้ก็พี่ข้างบ้านนี่เอง ก็แปลกใจนิดหน่อยครับว่าแกจะโทรมาทำไม เหลียวซ้ายแลขวาพอรับโทรศัพท์ได้เลยเปิด hand free เสียงพี่เขาก็ดังอู้อี้ลอดออกมาจากลำโพงของเครื่องโมโตรุ่นฝาพับ ฟังได้ใจความว่า "พี่ยังไม่ได้เติมน้ำมันน่ะ ไม่รู้ว่าน้ำมันพอใช้หรือเปล่า รถพี่เติมแก็สโซฮอล 95 นะ" ผมก็ตอบรับขอบคุณในคำเตือนของพี่เขา ตอนที่ผมรับรถมาจากพี่เขา น้ำมันก็เหลือประมาณครึงถังได้ครับ จริงๆก็ไม่น้อยและผมมั่นใจว่ามากพอจะพาผมไปถึงจุดหมายได้ ซึ่งก็จริงเพราะระยะทางประมาณ 50 กม. จากบ้านผมถึงที่ทำงานย่านบางนา เข็มน้ำมันแทบไม่กระดิกเลย แต่ก็นึกในใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะเติมน้ำมันคืนให้พี่เขาอยู่แล้ว ส่วนสิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงคือเติมแก็สโซฮอลได้ แสดงว่ามีความยืดหยุ่นในการให้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ค่าอ็อกเทนระหว่าง 91 - 95 และยังใช้ E-10 ได้ด้วย ทำให้ผมสันนิษฐานเอาว่า ทั้งท่อส่งน้ำมันและถังน้ำมันเชื้อเพลิง คงเป็นวัสดุที่สามารถรองรับเชื้อเพลิงเอเธอนอลได้ ซึ่งต่างจากรถเยอรมันคันใหญ่ยี่ห้อที่ผมใช้ต้องเติมเบนซิน 95 อย่างเดียว มาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะรู้แล้วว่าผมใช้รถยี่ห้ออะไร
ผมมาถึง office เวลาปกติ ตอนเอารถจอดในช่องจอดเสร็จ เดิลงมาจากรถ น้องๆ ใน office มองงงๆ แล้วถามผมว่า "พี่..เอารถไรมาขับอ่ะ?" คำถามนี้ทำให้ผมต้องหันไปดูรถที่ตัวเองขับมาอีกทีว่าตัวเองเผลอขับไปเบียดใครมาหรือเปล่า แต่ก็ไม่อะไรบุบสลาย เลยบอกน้องๆ ไปว่า corsa ไง ผมเดินเข้าไปทำงานแล้วปล่อยให้น้องๆ ยืนล้อมวงคุยรอบรถ corsa อย่างกับไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เสียงที่แว่วๆ มา เสียงนึงบอกเหมือนฮอนด้า อีกเสียงบอกใหญ่กว่ามิร่าอีก สุดท้ายก็มีเสียงนึงโพล่งขึ้นมาอย่างฮาๆ ว่า "กูว่าพี่เขาคงอยากเปลี่ยนบรรยากาศเพราะปกติแกชอบของใหญ่"
ผมนั่งทำงานจนเสร็จ เข้าประชุมกับนาย ตลอดทั้งเช้าถึง บ่าย 3 โมงครึ่ง coffee break เลยเปิด net แล้ว search หาเรื่อง corsa A, B, C ก็สนุกดีครับ มีอะไรให้น่าเล่นอยู่พอควรเลยทีเดียวจนน่าจะจัดได้ว่าเป็น people's car ที่ดีอีกรุ่น ทำให้นึกย้อนหลังไปช่วงที่ Corsa วางตลาดในเมืองไทยช่วงก่อนฟองสบู่แตก แล้วถามตัวเองว่า ทำไมช่วงนั้น (กู) ไม่ซื้อรถรุ่นนี้ (วะ) แล้วก็นึกคำตอบได้ทันควันว่า อ๋อ.... กลัวไม่มีอะไหล่ กลัวไม่มีศูนย์บริการรองรับ แต่เดี๋ยวนี้ถ้ามีช่างที่ไว้ใจได้ มีความรู้ และไม่มั่ว เราสามารถสั่งอะไหล่ online ได้ตามกำลังทรัพย์ ใครชอบลุ้นก็นั่ง bid เอาจาก ebay
ตอนต่อไป พาน้องเขียวกลับบ้าน
-
เอ้า....ตามไป ๆๆๆๆๆ
:) :)
-
ติดไปแร้วว....
รออ่านอยู่นะคะ....
อิอิ
-
ผมกลายเป็นคนติดนิยายไปซะแล้วอ่ะ :น้ำร้อน:
-
ตามๆๆ :)
-
ผมก็อ่าน อยู่นะครับ
ตามๆ กาน
-
ป๊อปคอร์นไหมครับแฟนๆๆๆ :) :) :)
-
ป๊อปคอร์นไหมครับแฟนๆๆๆ :) :) :)
เอาผสมนะเค็ม กับ หวาน แล้วเป๊ปซี่ ด้วยจัดมา Combo set 1 ที มานั่งรออ่านต่อ
-
มาต่อแล้วครับ พอดีมาธุระที่ภูเก็ตเลยต้องใช้เครื่องกับเน็ตของโรงแรม
16.30 น. หล้งจากเสร็จธุระกับเรื่องราวการงานต่างๆ ใน office ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ ดับไฟในห้องทำงาน แล้วเดินออกจากห้องทำงานไปที่ลานจอด เพื่อไปดูอาการรถเยอรมันคู่ใจคันใหญ่ที่อู่ประจำแถวซอยมิสทีน อู่นี้เป็นอู่ที่ซ่อมรถเยอรมัน 98% อีก 2% ที่เหลือก็ซ่อมรถยุโรปและรถญี่ปุ่นนู่นนี่นั่นเป็นครั้งคราว ทักทายกันพอหอมปากหอมคอก็ถามอาการเจ้าตัวใหญ่ ก็พอรู้ว่ามันไม่เป็นไรมาก ตอนแรกจะให้เจ้าของอู่ช่วยขับกลับบ้านให้ด้วย ก็ติดตรงที่อู่จะไม่มีใครอยู่ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการฝากนอนที่อู่ซะหนึ่งคืน เพราะอยากให้ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ดวย ก็เขาอายุมาพอควรเลยล่ะครับ ต้องดูแลกันเยอะหน่อย
มีเรื่องขำๆ เรื่องนึงครับ คือตำแหน่งของสวิทช์ที่ปัดน้ำฝนกับไฟเลี้ยว ต่างไปจากรถที่ผมใช้อยู่ทุกวัน เลยปัดน้ำฝนสลับกับไฟเลี้ยวกันอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ OK ตอนผมออกมาจากอู่ก้ใกล้ค่ำแล้วครับ มองดูหน้าหาตำแหน่งสวิทช์ไฟ แล้วก็ลองบิดก้านไฟเลี้ยวดู ก็ไม่เห็นว่าตรงไหนจะทำให้ไฟใหญ่หน้ารถติดได้ เหลียวไปมาสักพักก็ อ๋อ...อยู่ตำแหน่งเดียวกันกับเจ้าเยอรมันคันใหญ่นี่เอง ทั้งไฟหรี่ ไฟใหญ่ เหมือนกันเลย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับ astra คันเล็กๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก
ขับไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตอาการตัวร้อนของรถ ที่แสดงผ่านเข็มอุณหภูมิที่กระดิกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็มี sequence คล้ายๆกับเมื่อตอนเช้าครับ ผมเกิดความคิดขึ้นมา 2 ทางสำหรับเรื่องความร้อนคือ 1 รถอาจจะมีระดับความร้อนสูงเกินกว่าปกติต้องแก้ไข ซึ่งความร้อนปกติน่าจะอยู่แถว 90-92 องศาเซลเซียส หรือ 2 รถอาจจะมีระดับความร้อนแบบนี้เป็นปกติก็ได้ เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับรถที่ผมใช้ประจำ อุณหภูมิปกติที่รักษาให้เป็นปกติจะอยู่ที่ประมาณ 80-90 องศาเซลเซียส ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกัน อาการตัวร้อนของรถคันนี้ ก็จะเกิดขึ้นใกล้เคียงกับแอร์ไม่ค่อยเย็น ผมเลยแก้ปัญหาแบบเดิมคือ ปิดแอร์สักพักหนึ่งแล้วเปืดแอร์ใหม่ แอร์เย็นขึ้นและเครื่องเริ่มเย็นลง
19.00 น. ผมลอดใต้สะพานข้ามคลองสามวา (ไม่เข้าใจว่า ทำไมจากร่มเกล้าจะให้เลี้ยวขวาเข้าสุวินทวงศ์เลยไม่ได้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปมะรุมมะตุ้มลอดสะพานนี้) ขับประกบข้างๆ 18 ล้อพอได้ไออุ่น แล้วโผล่ขึ้นสุวินทวงศ์ ขับมาเรื่อยๆ ถึงเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนิมิตใหม่ แล้วเลือกปั๊มที่จะเติมน้ำมันคืนให้พี่เขา สุดท้ายเลือกช่วยคนไทยด้วยการเติมแก็สโซฮอล 95 ของบางจาก 200 บาท เรื่องแปลกใจก็เกิดขึ้นอีกครับคือ น้ำมันที่เติมกลับเกินครึ่งถังไป 1 ขีดเต็มๆ แสดงว่าวันนี้ขับรถไป 100 กม. ใช้น้ำมันไปไปถึง 200 บาท เอ...อย่างนี้ไม่ต้องติดแก็สก็ได้นะ
ออกจากปั๊มน้ำมันของคนไทยเพื่อคนไทยที่รู้จักความเป็นอยู่อย่างพอเพียงแล้ว ผมก็ควบน้องเขียว corsa ตรงกับคืนสู่อ้อมอกเจ้าของรถโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับทำ list รายการที่เจ้าของควรดูแลด้วย ซึ่งผมคิดว่าถ้าได้ปรับแต่งอีกเล็กน้อย ก็จะได้ city car เก๋าๆ วิ่งดีๆ ขับอย่างสบายๆ เรื่องราวการขับขี่ 1 วัน กับ Opel Corsa B 4 ประตู ก็คงจบลงแค่นี้ ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็น corsa คันนี้จอดอยู่มากกว่าขับตามปกติที่เป็นอยู่ ในใจก็รู้สึกอิจฉาคนที่เป็นเจ้าของและคิดว่าถ้ามีโอกาสอาจจะหาเดิมๆ มาขับสักคันในวันสบายๆ ส่วนคุณทั้งหลายที่ได้เป็นเจ้าของรถ Opel ไม่ว่ารุ่นใดก็ตามผมว่าคุณได้ของดีไว้กับตัวแล้ว ถ้ารถมีปัญหา อย่ารีบร้อนขายทิ้ง ลองไล่ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เจอสาเหตุก่อน อาจจะแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ถ้ารถขับแล้วเร่งขึ้นไม่ทันใจ โดยเฉพาะเกียร์ออโต้ อย่ารีบร้อนวางเครื่องใหม่ ลองปรับวิธีวางเท้าขวาบนคันเร่งดู แค่แปะเท้าแล้วกดเบาๆ ไม่ต้องกดลงไปลึกๆ คุณจะได้รับความรู้สึกใหม่ๆ กับการขับรถคันเดิม สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับ Opel รถเยอรมัน ขับสนุกตราสายฟ้าฟาดทุกท่านครับ
-
:)
ว่างๆเข้ามาเยี่ยมเวบพวกเราบ่อยๆนะคร้าบ.... :ตาปิ้ง:
-
จบแล้วหรอครับ ว่างๆมาเขียนเรื่อง บรรยายอีกนะครับ ( อาชีพเสริมพี่เขียนนิยายส่งนิตยสารป่ะครับ อ่านแบบเห็นภาพเลยอ่ะ ชอบครับ ) :) :) :)
-
เอ้าครับ ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายออกจากอาซีเออยู่ครงข้ามครับ ขอบคุณที่ใช้บริการ ลองบีชครับผม
-
พี่เป็นนักเขียนป่าวค่ะ....
ว่างๆ เจอรถนู๋ทักทายกันได้นะ..อิอิ
-
ยินดีต้อนรับครับ จะรออ่านต่อนะ
ป.ล. แล้วปกติคุณใช้รถเยอรมันยี่ห้ออะไรอ่ะ
ขอตอบคำถามนี้ก่อนครับเดี๋ยวจะกลายเป็นบุคคลลึกลับ รถเยอรมันที่ผมใช้อยู่เป็นรถค่ายดาวสามแฉกครับ ผมเขียนบันทึเรื่องนี้เพราะว่า feeling การขับและ hadling ของ Opel กับ Benz ไม่ต่างกันมากครับ เมื่อเทียบกับรถเยอรมันยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยลองขับมาแล้ว ถึงตั้งคำถามในใจว่า ทำไมไม่เคยสนใจ Opel มาก่อน
-
^
^
^
โอ้ว...กลับมาแล้วรึค่ะ
มาเล่าเรื่องต่อรึป่าว มารออ่านค่า ^^*
-
^
^
^
โอ้ว...กลับมาแล้วรึค่ะ
มาเล่าเรื่องต่อรึป่าว มารออ่านค่า ^^*
ต้องหาโอกาสขับหรือเป็นเจ้าของรถ Opel น่ะครับ ก็จะมีเรื่องเขียนได้อีก โดยเฉพาะ Corsa ยังมีเรื่องน่าสนใจมากนะครับ เช่น หลายคนรู้สึกว่าช่วงเหยียบเบรคต้องเหยียบลึกกลัวไม่อยู่ จริงๆ เบรคดีครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกครับแต่น่าจะเป็นการออกแบบช่วงจังหวะการเบรคไม่ให้ล้อล็อคเพราะถ้าช่วงเหยียบเบรคตื้น ในจังหวะฉุกเฉิน ถ้าเราเหยียบเบรคกระทันหัน เบรคอาจจะจับล้ออยู่แต่ล้อล็อคแล้วท้ายปัด เราก็จะเสียการควบคุมรถได้ครับ และ Corsa เป็นรถเล็กฐานล้อแคบถ้าท้ายปัดแรงๆ อาจพลิกคว่ำได้ครับ
-
^
^
^
โอ้ว...กลับมาแล้วรึค่ะ
มาเล่าเรื่องต่อรึป่าว มารออ่านค่า ^^*
ต้องหาโอกาสขับหรือเป็นเจ้าของรถ Opel น่ะครับ ก็จะมีเรื่องเขียนได้อีก โดยเฉพาะ Corsa ยังมีเรื่องน่าสนใจมากนะครับ เช่น หลายคนรู้สึกว่าช่วงเหยียบเบรคต้องเหยียบลึกกลัวไม่อยู่ จริงๆ เบรคดีครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกครับแต่น่าจะเป็นการออกแบบช่วงจังหวะการเบรคไม่ให้ล้อล็อคเพราะถ้าช่วงเหยียบเบรคตื้น ในจังหวะฉุกเฉิน ถ้าเราเหยียบเบรคกระทันหัน เบรคอาจจะจับล้ออยู่แต่ล้อล็อคแล้วท้ายปัด เราก็จะเสียการควบคุมรถได้ครับ และ Corsa เป็นรถเล็กฐานล้อแคบถ้าท้ายปัดแรงๆ อาจพลิกคว่ำได้ครับ
ไว้แวะมาคุยเล่นกันอีกนะคะ
:) :)
ไม่ต้องขับ opel ก็แวะมาทักทายกันได้ค่า ^^*
-
พี่เป็นนักเขียนป่าวค่ะ....
ว่างๆ เจอรถนู๋ทักทายกันได้นะ..อิอิ
โอ...ไม่บังอาจยกตัวเป็นนักเขียนหรอกครับ ไกลเกินฝัน
ทำงานที่ Nation ต้องระวังหน่อยครับช่วงนี้ แดงแรงฤทธิ์
-
พี่เป็นนักเขียนป่าวค่ะ....
ว่างๆ เจอรถนู๋ทักทายกันได้นะ..อิอิ
โอ...ไม่บังอาจยกตัวเป็นนักเขียนหรอกครับ ไกลเกินฝัน
ทำงานที่ Nation ต้องระวังหน่อยครับช่วงนี้ แดงแรงฤทธิ์
อุ๊ยยย....
นู๋ก้อเคยอยู่ NAtion นะคะ...ทำได้ 2 เดือน
แต่ก้อออกมาได้หลายเดือนแล้วว
5555
-
^
^
^
โอ้ว...กลับมาแล้วรึค่ะ
มาเล่าเรื่องต่อรึป่าว มารออ่านค่า ^^*
ต้องหาโอกาสขับหรือเป็นเจ้าของรถ Opel น่ะครับ ก็จะมีเรื่องเขียนได้อีก โดยเฉพาะ Corsa ยังมีเรื่องน่าสนใจมากนะครับ เช่น หลายคนรู้สึกว่าช่วงเหยียบเบรคต้องเหยียบลึกกลัวไม่อยู่ จริงๆ เบรคดีครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกครับแต่น่าจะเป็นการออกแบบช่วงจังหวะการเบรคไม่ให้ล้อล็อคเพราะถ้าช่วงเหยียบเบรคตื้น ในจังหวะฉุกเฉิน ถ้าเราเหยียบเบรคกระทันหัน เบรคอาจจะจับล้ออยู่แต่ล้อล็อคแล้วท้ายปัด เราก็จะเสียการควบคุมรถได้ครับ และ Corsa เป็นรถเล็กฐานล้อแคบถ้าท้ายปัดแรงๆ อาจพลิกคว่ำได้ครับ
ช่วงเบรคของ opel จะออกแบบมาให้สามารถคุมระยะการกดเบรคได้ละเอียดกว่าหลายๆยี่ห้อครับ ทำให้สามารถแต่งจังหวะเบรคได้ค่อนข้างเยอะครับ ถ้าขับ opel แล้วไปขับรถยี่ปุ่น เหยียบครั้งแรกมักจะหัวทิ่มครับ เพราะว่าไม่ชินระยะแป้นเบรคครับ :สำนึก:
-
พี่เป็นนักเขียนป่าวค่ะ....
ว่างๆ เจอรถนู๋ทักทายกันได้นะ..อิอิ
โอ...ไม่บังอาจยกตัวเป็นนักเขียนหรอกครับ ไกลเกินฝัน
ทำงานที่ Nation ต้องระวังหน่อยครับช่วงนี้ แดงแรงฤทธิ์
อุ๊ยยย....
นู๋ก้อเคยอยู่ NAtion นะคะ...ทำได้ 2 เดือน
แต่ก้อออกมาได้หลายเดือนแล้วว
5555
ผมไม่ได้ทำงานที่ Nation ครับ แต่ดูในหน้าแนะนำตัวสมาชิกเห็น Nu_Paiy โพสไว้ว่าเป็น Sales ที่ Nation
เลยเตือนให้ระวังว่าช่วงนี้ แดงแรงฤทธิ์ จะไปทำงานแถวนั้นต้องระวังและเตรียมการล่วงหน้าสักหน่อย แต่ถ้าออกมาแล้ว
ก็ไม่เป็นไร เสาร์-อาทิตย์นี้ ก็อยู่บ้านกันเถอะครับ อย่าออกไปไหน ถ้าว่างๆ เบื่อๆ เหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไรดี
ก็ทำความสะอาดรถล้างรถด้วยตัวเอง จะได้พอคลายเหงา
-
^
^
^
โอ้ว...กลับมาแล้วรึค่ะ
มาเล่าเรื่องต่อรึป่าว มารออ่านค่า ^^*
ต้องหาโอกาสขับหรือเป็นเจ้าของรถ Opel น่ะครับ ก็จะมีเรื่องเขียนได้อีก โดยเฉพาะ Corsa ยังมีเรื่องน่าสนใจมากนะครับ เช่น หลายคนรู้สึกว่าช่วงเหยียบเบรคต้องเหยียบลึกกลัวไม่อยู่ จริงๆ เบรคดีครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกครับแต่น่าจะเป็นการออกแบบช่วงจังหวะการเบรคไม่ให้ล้อล็อคเพราะถ้าช่วงเหยียบเบรคตื้น ในจังหวะฉุกเฉิน ถ้าเราเหยียบเบรคกระทันหัน เบรคอาจจะจับล้ออยู่แต่ล้อล็อคแล้วท้ายปัด เราก็จะเสียการควบคุมรถได้ครับ และ Corsa เป็นรถเล็กฐานล้อแคบถ้าท้ายปัดแรงๆ อาจพลิกคว่ำได้ครับ
ช่วงเบรคของ opel จะออกแบบมาให้สามารถคุมระยะการกดเบรคได้ละเอียดกว่าหลายๆยี่ห้อครับ ทำให้สามารถแต่งจังหวะเบรคได้ค่อนข้างเยอะครับ ถ้าขับ opel แล้วไปขับรถยี่ปุ่น เหยียบครั้งแรกมักจะหัวทิ่มครับ เพราะว่าไม่ชินระยะแป้นเบรคครับ :สำนึก:
ใช่ครับ รถเยอรมันมักจะออกแบบให้มีระยะเบรคแบบนี้ เพราะต้องการให้รถชะลอและหยุดได้อย่างปลอดภัย แต่หลายๆ ท่านที่ขับรถญี่ปุ่นก็จะชินกับการเบรคปุ๊ปอยู่ปั๊ปทันที ซึ่งก็ดีแต่ล้อก็ล็อคได้ง่ายกว่าน่ะครับ บางครั้งผมก็นึกถึงว่าเป็นเพราะกฎหมาย ลักษณะถนน ภูมิประเทศ วัฒนธรรม แนวคิดเพื่อการผลิตรถของเยอรมันกับญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันหรือเปล่าทำให้การออกแบบอุปกรณ์ต่างๆในรถยนต์มีความแตกต่างกันบ้าง เช่น เยอรมันมีทางด่วนออโต้บาห์น ทั้งรถเล็ก รถใหญ่ จึงต้องมีช่วงล่างดี ขับขี่ในความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ ทำให้ออกแบบช่วงเบรคสามารถชะลอและหยุดได้อย่างปลอดภัย แต่ญี่ปุ่นอาจมีแนวคิดเรื่องการผลิตรถเล็กว่าเป็นรถขนาด CC. ไม่มาก ใช้สำหรับระยะทางใกล้ๆ ใช้ในพื้นที่ๆ มีการจราจรแออัด หรือรถสามารถเคลื่อนไปได้แบบ stop and go คือไปๆ หยุดๆ วิ่งบ้างติดบ้าง จึงต้องทำเบรคให้มีระยะที่ตื้นกว่า เพื่อให้หยุดได้ฉับไว ลองสังเกตได้ครับว่า City car ของญี่ปุ่นมักมีตีนต้นดี บางคันถึงกับเร้าใจเลยทีเดียว :)
-
:D :D :D
-
มาต่อแล้วครับ พอดีมาธุระที่ภูเก็ตเลยต้องใช้เครื่องกับเน็ตของโรงแรม
16.30 น. หล้งจากเสร็จธุระกับเรื่องราวการงานต่างๆ ใน office ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ ดับไฟในห้องทำงาน แล้วเดินออกจากห้องทำงานไปที่ลานจอด เพื่อไปดูอาการรถเยอรมันคู่ใจคันใหญ่ที่อู่ประจำแถวซอยมิสทีน อู่นี้เป็นอู่ที่ซ่อมรถเยอรมัน 98% อีก 2% ที่เหลือก็ซ่อมรถยุโรปและรถญี่ปุ่นนู่นนี่นั่นเป็นครั้งคราว ทักทายกันพอหอมปากหอมคอก็ถามอาการเจ้าตัวใหญ่ ก็พอรู้ว่ามันไม่เป็นไรมาก ตอนแรกจะให้เจ้าของอู่ช่วยขับกลับบ้านให้ด้วย ก็ติดตรงที่อู่จะไม่มีใครอยู่ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการฝากนอนที่อู่ซะหนึ่งคืน เพราะอยากให้ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ดวย ก็เขาอายุมาพอควรเลยล่ะครับ ต้องดูแลกันเยอะหน่อย
มีเรื่องขำๆ เรื่องนึงครับ คือตำแหน่งของสวิทช์ที่ปัดน้ำฝนกับไฟเลี้ยว ต่างไปจากรถที่ผมใช้อยู่ทุกวัน เลยปัดน้ำฝนสลับกับไฟเลี้ยวกันอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ OK ตอนผมออกมาจากอู่ก้ใกล้ค่ำแล้วครับ มองดูหน้าหาตำแหน่งสวิทช์ไฟ แล้วก็ลองบิดก้านไฟเลี้ยวดู ก็ไม่เห็นว่าตรงไหนจะทำให้ไฟใหญ่หน้ารถติดได้ เหลียวไปมาสักพักก็ อ๋อ...อยู่ตำแหน่งเดียวกันกับเจ้าเยอรมันคันใหญ่นี่เอง ทั้งไฟหรี่ ไฟใหญ่ เหมือนกันเลย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับ astra คันเล็กๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก
ขับไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตอาการตัวร้อนของรถ ที่แสดงผ่านเข็มอุณหภูมิที่กระดิกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็มี sequence คล้ายๆกับเมื่อตอนเช้าครับ ผมเกิดความคิดขึ้นมา 2 ทางสำหรับเรื่องความร้อนคือ 1 รถอาจจะมีระดับความร้อนสูงเกินกว่าปกติต้องแก้ไข ซึ่งความร้อนปกติน่าจะอยู่แถว 90-92 องศาเซลเซียส หรือ 2 รถอาจจะมีระดับความร้อนแบบนี้เป็นปกติก็ได้ เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับรถที่ผมใช้ประจำ อุณหภูมิปกติที่รักษาให้เป็นปกติจะอยู่ที่ประมาณ 80-90 องศาเซลเซียส ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกัน อาการตัวร้อนของรถคันนี้ ก็จะเกิดขึ้นใกล้เคียงกับแอร์ไม่ค่อยเย็น ผมเลยแก้ปัญหาแบบเดิมคือ ปิดแอร์สักพักหนึ่งแล้วเปืดแอร์ใหม่ แอร์เย็นขึ้นและเครื่องเริ่มเย็นลง
19.00 น. ผมลอดใต้สะพานข้ามคลองสามวา (ไม่เข้าใจว่า ทำไมจากร่มเกล้าจะให้เลี้ยวขวาเข้าสุวินทวงศ์เลยไม่ได้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปมะรุมมะตุ้มลอดสะพานนี้) ขับประกบข้างๆ 18 ล้อพอได้ไออุ่น แล้วโผล่ขึ้นสุวินทวงศ์ ขับมาเรื่อยๆ ถึงเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนิมิตใหม่ แล้วเลือกปั๊มที่จะเติมน้ำมันคืนให้พี่เขา สุดท้ายเลือกช่วยคนไทยด้วยการเติมแก็สโซฮอล 95 ของบางจาก 200 บาท เรื่องแปลกใจก็เกิดขึ้นอีกครับคือ น้ำมันที่เติมกลับเกินครึ่งถังไป 1 ขีดเต็มๆ แสดงว่าวันนี้ขับรถไป 100 กม. ใช้น้ำมันไปไปถึง 200 บาท เอ...อย่างนี้ไม่ต้องติดแก็สก็ได้นะ
ออกจากปั๊มน้ำมันของคนไทยเพื่อคนไทยที่รู้จักความเป็นอยู่อย่างพอเพียงแล้ว ผมก็ควบน้องเขียว corsa ตรงกับคืนสู่อ้อมอกเจ้าของรถโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับทำ list รายการที่เจ้าของควรดูแลด้วย ซึ่งผมคิดว่าถ้าได้ปรับแต่งอีกเล็กน้อย ก็จะได้ city car เก๋าๆ วิ่งดีๆ ขับอย่างสบายๆ เรื่องราวการขับขี่ 1 วัน กับ Opel Corsa B 4 ประตู ก็คงจบลงแค่นี้ ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็น corsa คันนี้จอดอยู่มากกว่าขับตามปกติที่เป็นอยู่ ในใจก็รู้สึกอิจฉาคนที่เป็นเจ้าของและคิดว่าถ้ามีโอกาสอาจจะหาเดิมๆ มาขับสักคันในวันสบายๆ ส่วนคุณทั้งหลายที่ได้เป็นเจ้าของรถ Opel ไม่ว่ารุ่นใดก็ตามผมว่าคุณได้ของดีไว้กับตัวแล้ว ถ้ารถมีปัญหา อย่ารีบร้อนขายทิ้ง ลองไล่ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เจอสาเหตุก่อน อาจจะแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ถ้ารถขับแล้วเร่งขึ้นไม่ทันใจ โดยเฉพาะเกียร์ออโต้ อย่ารีบร้อนวางเครื่องใหม่ ลองปรับวิธีวางเท้าขวาบนคันเร่งดู แค่แปะเท้าแล้วกดเบาๆ ไม่ต้องกดลงไปลึกๆ คุณจะได้รับความรู้สึกใหม่ๆ กับการขับรถคันเดิม สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับ Opel รถเยอรมัน ขับสนุกตราสายฟ้าฟาดทุกท่านครับ
ม่ะได้แซวน้า....ตกลงรุ่นไหนกันแน่อ่ะคับ corsa หรือ astra ;D ;D ;D :สำนึก: :สำนึก: :สำนึก:
-
มาต่อแล้วครับ พอดีมาธุระที่ภูเก็ตเลยต้องใช้เครื่องกับเน็ตของโรงแรม
16.30 น. หล้งจากเสร็จธุระกับเรื่องราวการงานต่างๆ ใน office ผมเก็บข้าวของบนโต๊ะ ดับไฟในห้องทำงาน แล้วเดินออกจากห้องทำงานไปที่ลานจอด เพื่อไปดูอาการรถเยอรมันคู่ใจคันใหญ่ที่อู่ประจำแถวซอยมิสทีน อู่นี้เป็นอู่ที่ซ่อมรถเยอรมัน 98% อีก 2% ที่เหลือก็ซ่อมรถยุโรปและรถญี่ปุ่นนู่นนี่นั่นเป็นครั้งคราว ทักทายกันพอหอมปากหอมคอก็ถามอาการเจ้าตัวใหญ่ ก็พอรู้ว่ามันไม่เป็นไรมาก ตอนแรกจะให้เจ้าของอู่ช่วยขับกลับบ้านให้ด้วย ก็ติดตรงที่อู่จะไม่มีใครอยู่ ผมเลยตัดปัญหาด้วยการฝากนอนที่อู่ซะหนึ่งคืน เพราะอยากให้ช่วยเช็คความเรียบร้อยให้ดวย ก็เขาอายุมาพอควรเลยล่ะครับ ต้องดูแลกันเยอะหน่อย
มีเรื่องขำๆ เรื่องนึงครับ คือตำแหน่งของสวิทช์ที่ปัดน้ำฝนกับไฟเลี้ยว ต่างไปจากรถที่ผมใช้อยู่ทุกวัน เลยปัดน้ำฝนสลับกับไฟเลี้ยวกันอยู่พักใหญ่แต่สุดท้ายก็ OK ตอนผมออกมาจากอู่ก้ใกล้ค่ำแล้วครับ มองดูหน้าหาตำแหน่งสวิทช์ไฟ แล้วก็ลองบิดก้านไฟเลี้ยวดู ก็ไม่เห็นว่าตรงไหนจะทำให้ไฟใหญ่หน้ารถติดได้ เหลียวไปมาสักพักก็ อ๋อ...อยู่ตำแหน่งเดียวกันกับเจ้าเยอรมันคันใหญ่นี่เอง ทั้งไฟหรี่ ไฟใหญ่ เหมือนกันเลย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ผมคุ้นเคยกับ astra คันเล็กๆ นี้อย่างบอกไม่ถูก
ขับไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตอาการตัวร้อนของรถ ที่แสดงผ่านเข็มอุณหภูมิที่กระดิกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็มี sequence คล้ายๆกับเมื่อตอนเช้าครับ ผมเกิดความคิดขึ้นมา 2 ทางสำหรับเรื่องความร้อนคือ 1 รถอาจจะมีระดับความร้อนสูงเกินกว่าปกติต้องแก้ไข ซึ่งความร้อนปกติน่าจะอยู่แถว 90-92 องศาเซลเซียส หรือ 2 รถอาจจะมีระดับความร้อนแบบนี้เป็นปกติก็ได้ เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับรถที่ผมใช้ประจำ อุณหภูมิปกติที่รักษาให้เป็นปกติจะอยู่ที่ประมาณ 80-90 องศาเซลเซียส ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกัน อาการตัวร้อนของรถคันนี้ ก็จะเกิดขึ้นใกล้เคียงกับแอร์ไม่ค่อยเย็น ผมเลยแก้ปัญหาแบบเดิมคือ ปิดแอร์สักพักหนึ่งแล้วเปืดแอร์ใหม่ แอร์เย็นขึ้นและเครื่องเริ่มเย็นลง
19.00 น. ผมลอดใต้สะพานข้ามคลองสามวา (ไม่เข้าใจว่า ทำไมจากร่มเกล้าจะให้เลี้ยวขวาเข้าสุวินทวงศ์เลยไม่ได้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปมะรุมมะตุ้มลอดสะพานนี้) ขับประกบข้างๆ 18 ล้อพอได้ไออุ่น แล้วโผล่ขึ้นสุวินทวงศ์ ขับมาเรื่อยๆ ถึงเลี้ยวซ้ายเข้าถนนนิมิตใหม่ แล้วเลือกปั๊มที่จะเติมน้ำมันคืนให้พี่เขา สุดท้ายเลือกช่วยคนไทยด้วยการเติมแก็สโซฮอล 95 ของบางจาก 200 บาท เรื่องแปลกใจก็เกิดขึ้นอีกครับคือ น้ำมันที่เติมกลับเกินครึ่งถังไป 1 ขีดเต็มๆ แสดงว่าวันนี้ขับรถไป 100 กม. ใช้น้ำมันไปไปถึง 200 บาท เอ...อย่างนี้ไม่ต้องติดแก็สก็ได้นะ
ออกจากปั๊มน้ำมันของคนไทยเพื่อคนไทยที่รู้จักความเป็นอยู่อย่างพอเพียงแล้ว ผมก็ควบน้องเขียว corsa ตรงกับคืนสู่อ้อมอกเจ้าของรถโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับทำ list รายการที่เจ้าของควรดูแลด้วย ซึ่งผมคิดว่าถ้าได้ปรับแต่งอีกเล็กน้อย ก็จะได้ city car เก๋าๆ วิ่งดีๆ ขับอย่างสบายๆ เรื่องราวการขับขี่ 1 วัน กับ Opel Corsa B 4 ประตู ก็คงจบลงแค่นี้ ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็น corsa คันนี้จอดอยู่มากกว่าขับตามปกติที่เป็นอยู่ ในใจก็รู้สึกอิจฉาคนที่เป็นเจ้าของและคิดว่าถ้ามีโอกาสอาจจะหาเดิมๆ มาขับสักคันในวันสบายๆ ส่วนคุณทั้งหลายที่ได้เป็นเจ้าของรถ Opel ไม่ว่ารุ่นใดก็ตามผมว่าคุณได้ของดีไว้กับตัวแล้ว ถ้ารถมีปัญหา อย่ารีบร้อนขายทิ้ง ลองไล่ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เจอสาเหตุก่อน อาจจะแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็นเลย ถ้ารถขับแล้วเร่งขึ้นไม่ทันใจ โดยเฉพาะเกียร์ออโต้ อย่ารีบร้อนวางเครื่องใหม่ ลองปรับวิธีวางเท้าขวาบนคันเร่งดู แค่แปะเท้าแล้วกดเบาๆ ไม่ต้องกดลงไปลึกๆ คุณจะได้รับความรู้สึกใหม่ๆ กับการขับรถคันเดิม สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับ Opel รถเยอรมัน ขับสนุกตราสายฟ้าฟาดทุกท่านครับ
ม่ะได้แซวน้า....ตกลงรุ่นไหนกันแน่อ่ะคับ corsa หรือ astra ;D ;D ;D :สำนึก: :สำนึก: :สำนึก:
:-[ :-[corsaครับ ขอบคุณนะครับ
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ ครับ :D
-
ยินดีต้อนรับครับ จะรออ่านต่อนะ
ป.ล. แล้วปกติคุณใช้รถเยอรมันยี่ห้ออะไรอ่ะ
ขอตอบคำถามนี้ก่อนครับเดี๋ยวจะกลายเป็นบุคคลลึกลับ รถเยอรมันที่ผมใช้อยู่เป็นรถค่ายดาวสามแฉกครับ ผมเขียนบันทึเรื่องนี้เพราะว่า feeling การขับและ hadling ของ Opel กับ Benz ไม่ต่างกันมากครับ เมื่อเทียบกับรถเยอรมันยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยลองขับมาแล้ว ถึงตั้งคำถามในใจว่า ทำไมไม่เคยสนใจ Opel มาก่อน
ความรู้สึกเหมือนกันเลยครับ เดิมเคยใช้ Benz w123 แต่ปล่อยไปแล้วเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว หันมาคบกับญี่ปุ่นเสียนานจนเกือบลืม เพิ่งได้ corsa มาเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วให้แฟนขับไปทำงาน คลับคล้ายคลับคาว่าความรู้สึกแบบนี้มันรถเดิมของเรานี่หว่า ช่วงล่างแน่น การทรงตัวเป็นเยี่ยม ขับได้มั่นใจดี แต่ระบบเบรคก็กลัวว่าจะเิอาไม่ค่อยอยู่ เพิ่งทบทวบความรู้สึกเก่าๆได้ว่ารถเดิมก็คล้ายๆกัน แต่พรุ่งนี้ต้องไปตรวจระบบเบรคและโช๊คหลังหน่อย เพราะเวลาเหยียบเบรคคล้ายกับมีเสียงลมออกมา และโช๊คหลังดังเวลากด คิดไปคิดมาว่าจะยึด corsa แล้วให้แฟนขับพี่ยุ่นไปทำงานดีไหมเนี่ยะ พวกเราน่าจะขออนุญาตเจ้าของกระทู้เอาเรื่องจริงผ่านจอเรื่องนี้ไปลงในนิตยสารรถยนต์ จะได้มีคนหันกลับมามองเราเยอะๆ และ....ผลพลอยได้... ราคารถเราจะได้สูงขึ้นไปด้วยไง.....
-
แน่นอนครับ corsa มันเจ๋งอยู่แล้นท์